แบตเตอรี่รถยนต์หมดหรือเสื่อม โดยส่วนมากมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี หรือรถที่เคยเปลี่ยน แบตเตอรี่มาแล้วมากกว่า 1 ปีครึ่ง สำหรับรถที่ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และเฉลี่ย 6 เดือนสำหรับรถ เพื่อการพาณิชย์ Taxi รถส่งของ หากมีอาการสตาร์ทไม่ติดมีโอกาสเป็น ไปได้สูงว่าสาเหตุหลักมาจากแบตเตอรี่ สามารถตรวจเช็คอย่างแม่นยำได้โดยใช้ เครื่องวัดค่ากำลังสตาร์ท (CCA ย่อมาจาก Cold Cranking Amp) หรือ สังเกตุได้ด้วยตนเองเช่นเริ่ม มีอาการสตาร์ทติดยาก ไฟหน้าไม่ค่อยสว่างอุปกรณ์ไฟฟ้า ภายในรถทำงานผิดปกติ เป็นต้น

มอเตอร์สตาร์ท, ไดร์สตาร์ท เป็นสาเหตุ ที่รองลงมา นอกเหนือจากแบตเตอรี่ สาเหตุนี้ ถึงแม้เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ก็อาจทำให้รถยังคงสตาร์ทไม่ติดอยู่ โดยอายุเฉลี่ยของ มอเตอร์สตาร์ทหรือ ไดร์สตาร์ท จะอยู่ที่ 5-10 ปี ต้องบำรุง รักษา หรือทำการเปลี่ยนใหม่อย่างน้อย 1 ครั้ง(ขึ้นอยู่กับความถี่ในการสตาร์ท) โดยสามารถตรวจเช็คได้ทั้งจาก อุปกรณ์วัดอัตราการหมุน ต่อรอบและ อัตราการดึงกระแสไฟ เพื่อใช้ใน การหมุนเครื่องยนต์สำหรับสตาร์ท หรือ สามารถ สังเกตุได้ด้วยตนเองเช่น ถึง แม้เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่แล้ว แต่ยัง คงสตาร์ทอืด หรือ หนักกว่านั้นคือ สตาร์ทแล้วมีเสียงดังแก๊กเดียว หรือดัง แต๊กเดียว หรือแม้กระทั่ง บิดหรือ กดปุ่มสตาร์ทแล้วเงียบ เป็นต้น

ระบบไฟ หรือ อื่นๆ อาทิเช่น น้ำมันหมด สิ่งนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้รถ สตาร์ทไม่ติด หรือติดยาก มักเกิดขึ้น กับรถรุ่นเก่า หรือ รถที่มีการดัดแปลง ติดตั้ง แก๊สรถยนต์มาเป็นต้น ซึ่ง สาเหตุเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ บ่อยมากนัก อาการโดยส่วนใหญ่ที่ สังเกตุได้เช่น ขณะสตาร์ท มีเสียงคล้าย กับเครื่องยนต์ใกล้จะสตาร์ทติดแต่ไม่ติด มีโอกาสเป็นไปได้หลายสาเหตุ ยก ตัวอย่างเช่น ระบบฟิวส์ของตัวจุด ระเบิดขาด มอเตอร์ดูดน้ำมันมีปัญหา ระบบหัวเทียน คอยด์จุดระเบิด เป็นต้น โดยหากสาเหตุนี้อาจต้องใช้เวลาและ การดำเนินการแก้ไขที่ยาวนาน เพื่อสืบ ค้นสาเหตุที่แท้จริง ของปัญหาเหล่านั้น